ชาวญี่ปุ่นเขาทำอะไรในวันขึ้นปีใหม่
โดย webmaster : อ่าน 45,634 ครั้ง
ก่อนถึงวันที่ 1 มกราคม อันเป็นวันขึ้นปีใหม่ของทุกปี ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะปฏิบัติตามประเพณีที่สืบทอดมาแต่โบราณ ซี่งแม้ว่าอาจจะมีความแตกต่างกันไปบ้างตามวัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่น แต่ประเพณีที่มักจะพบเห็นได้ในพื้นที่ส่วนใหญ่ทั่วประเทศญี่ปุ่นในช่วงเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ ประกอบด้วย
ปกติจะกระทำให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นปี ซึ่งประกอบด้วย
คือ ซุ้มสนสำหรับประดับที่ประตูรั้วบ้าน ซึ่งในสมัยโบราณจะสร้างจากไม้สนเป็นหลัก แต่ปัจจุบันนิยมทำจากไม้ไผ่ที่บากปลายแหลม ประดับด้วยใบสน ใบเฟิร์น ฟางข้าว และสิ่งมงคลต่างๆ
ถือเป็นสิ่งสักการะที่มีราคาสูง โดยจะประดับเป็นคู่ ที่ด้านซ้ายและด้านขวาของประตูรั้ว หรือประตูทางเข้าบริษัท ห้างร้าน หรือบ้านของบุคคลที่มีฐานะดี
แต่สำหรับประชาชนคนธรรมดา จะประดับสิ่งสักการะที่มีราคาย่อมเยาว์และขนาดเล็กกว่า เรียกว่า Shime kazari หรือ Wa kazari จำนวน 1 ชิ้นแทน
ชาวญี่ปุ่นมีความเชื่อว่า Kado matsu หรือ Matsu kazari จะขับไล่ความชั่วร้ายต่างๆ ไม่ให้เข้ามาในบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Kado matsu ที่ทำจากไม้ไผ่ อันถือเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ในการอัญเชิญเทพเจ้าให้มาปัดเป่าเภทภัยทั้งปวง
การประดับ Kado matsu จะประดับให้เสร็จสิ้นก่อนวันสิ้นปี แต่จะไม่ทำในวันที่ 29 และวันที่ 31 ธันวาคม เนื่องจากเลข 9 อ่านออกเสียงว่า ku ซึ่งพ้องเสียงกับคำว่า kurou ซึ่งแปลว่าความทุกข์ ส่วนวันที่ 31 ก็จะมีเวลากระชั้นเกินไป อันเป็นการแสดงความไม่เคารพต่อพระเจ้า ดังนั้น จึงมักจะประดับให้เสร็จในวันที่ 26, 27, 28 หรือ 30 ธันวาคม
เป็นเชือกที่ถักจากฟางข้าว ใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาเพื่อเป็นเส้นแบ่งเขตแดนสวรรค์อันเป็นที่สถิตย์ของเทพเจ้ากับโลกภายล่าง โดยจะปล่อยปลายเชือกฟางให้ห้อยลงเป็นจำนวน 3 หรือ 5 หรือ 7 เส้น
ในวันขึ้นปีใหม่ ตามศาลเจ้าจะประดับ Shime nawa ขนาดใหญ่ ส่วนตามบ้านของชาวญี่ปุ่นก็จะประดับ Shime kazari ซึ่งมีขนาดเล็กย่อส่วนนี้ ไว้ที่ประตูทางเข้าเรือนหรือเหนือประตูเข้าเรือน เพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายของปีเก่า และเป็นยันต์ป้องกันไม่ให้สิ่งชั่วร้ายต่างๆเข้ามาแผ้วพานในบริเวณบ้านพัก
การประดับ Shime kazari นี้ ปกติจะประดับล่วงหน้าก่อนวันสิ้นปี เพื่อเป็นความหมายว่ามีการตระเตรียมเรียบร้อย พร้อมที่จะอัญเชิญเทพเจ้าให้ลงมาปัดเป่าความชั่วร้ายได้ตลอดเวลา
เป็นแป้งโมจิที่ปั้นเป็นรูปทรงกลมแบนสำหรับสักการะเทพเจ้า ซึ่งนอกจากจะใช้ในเทศกาลวันขึ้นปีใหม่แล้ว ยังถือเป็นเครื่องสักการะเทพเจ้าในเทศกาลอื่นๆได้อีกด้วย
คำว่า Kagami มีความหมายว่า กระจกส่องหน้า ซึ่งในอดีตจะมีรูปทรงกลม และถือว่าเป็นของที่มีฤทธิ์เดชอาคมสูง จึงสันนิษฐานว่า คำว่า Kagami mochi นี้ น่าจะมาจากการปั้นแป้งโมจิให้เป็นรูปทรงกลมแบนเช่นเดียวกับกระจกนั่นเอง
ในวันขึ้นปีใหม่ ชาวญี่ปุ่นจะนำ Kagami mochi ขึ้นวางบนหิ้งเพื่อสักการะบูชาเทพเจ้า เพื่อขอพรให้มีอายุยืนยาว จากนั้นเมื่อถึงวันที่ 11 มกราคม อันเป็นวัน Kagami biraki ชาวญี่ปุ่นก็จะนำโมจิซึ่งแห้งแข็งนั้นลงจากหิ้ง จากนั้นใช้ค้อนทุบหรือใช้มือหักเป็นชิ้นเล็กๆ แต่จะต้องไม่ใช้มีดหั่น แล้วนำไปปรุงเป็นอาหารรับประทาน ตามความเชื่อว่าจะช่วยยืดอายุให้ยืนยาว
Osechi มีความหมายว่า "ช่วงที่เปลี่ยนฤดู" Osechi ryouri จึงหมายถึงอาหารที่จัดทำขึ้นเป็นพิเศษเพื่อสักการะเทพเจ้าในเทศกาลเปลี่ยนฤดู ซึ่งในสมัยเอโดะเคยกำหนดไว้ปีละ 5 ครั้ง และเมื่อเสร็จพิธี ชาวบ้านก็จะนำมาเลี้ยงฉลองและแบ่งปันกันทาน
แต่ปัจจุบัน Osechi ryouri จะหมายถึงอาหารที่ชาวญี่ปุ่นจัดทำขึ้นเพื่อรับประทานกันภายในครอบครัวในช่วงเทศกาลวันปีใหม่เท่านั้น ตามความเชื่อแต่โบราณว่าเป็นการต่ออายุให้ยืนยาวเช่นเดียวกับ Kagami mochi
ตามปกติ Osechi ryouri จะเป็นอาหารที่เก็บไว้ทานได้นานหลายวัน ตามความเชื่อที่ว่าในช่วงที่อัญเชิญเทพเจ้ามารับเครื่องเซ่นไหว้สักการะนี้ ไม่ควรเข้าครัวเพื่อทำอาหารให้เป็นที่อึกทึกครึกโครม และอีกอย่างหนึ่งคือ เพื่อให้แม่บ้านได้มีเวลาหยุดพักอย่างน้อยที่สุดก็ประมาณ 3 วัน หลังจากที่ได้เหน็ดเหนื่อยจากการทำอาหารมาตลอดทั้งปี
Osechi ryouri จะประกอบด้วยอาหารหลายชนิด แต่จะต้องมีอาหารหลัก 3 ชนิด อันเป็นของพื้นบ้าน ซึ่งกำหนดมาตั้งแต่สมัยตระกูล Tokugawa ปกครองประเทศ เพื่อไม่ให้ประชาชนใช้ชีวิตที่ฟุ้งเฟื้อเกินไป นั่นก็คือ ถั่วดำเชื่อม ไข่ปลาเฮอริงหมักเกลือ และลูกปลาซาร์ดีนตากแห้ง แต่ในเขตคันไซ คือแถบเมืองเกียวโต และโอซากา จะกำหนดอาหารหลัก 3 ชนิด คือ ถั่วดำเชื่อม ไข่ปลาเฮอริงหมักเกลือ และรากหญ้าเบอร์ดอคปรุงรส
อาหารแต่ละชนิดที่จัดเป็น Osechi ryouri จะเป็นอาหารที่มีความหมายอันเป็นสิริมงคลตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น คือ
Hatsu moude คือ การไปนมัสการศาลเจ้าในครั้งแรกของรอบปี ซึ่งตามปกติ ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะไปนมัสการศาลเจ้าภายในวันที่ 3 มกราคม ของปีนั้นๆ เพื่อความเป็นศิริมงคลและให้เทพเจ้าคุ้มครอง
แต่ปัจจุบัน เนื่องจากการวัฒนธรรมการดำรงชีวิตเปลี่ยนแปลงไป คือ ชาวญี่ปุ่นจะเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศในวันหยุดช่วงวันขึ้นปีใหม่เพิ่มขึ้น การไปนมัสการศาลเจ้าครั้งแรกในรอบปี จึงชะลอไปถึงวันที่ 7 มกราคม หรือ 15 มกราคม ซึ่งเป็นวันที่ถอด Matsu kazari ออก ตามธรรมเนียมปฏิบัติของท้องถิ่นนั้นๆ
เมื่อเดินทางไปถึงศาลเจ้า และอยู่หน้ากล่องถวายเงินซึ่งตั้งอยู่หน้าศาลเจ้า ชาวญี่ปุ่นมีธรรมเนียมในการสักการะและขอพรจากเทพเจ้า โดยแยกได้เป็น 6 ขั้นตอนตามลำดับ ดังนี้
นอกจากนี้ ชาวญี่ปุ่นที่ไปนมัสการศาลเจ้าในวันขึ้นปีใหม่ มักจะนิยมเสี่ยงเซียมซี
ใบเซียมซีจะทำนายโชคไว้หลายระดับ ตั้งแต่ระดับ Dai kichi (โชคดีที่สุด) ไปจนถึงระดับ Dai kyou (โชคร้ายที่สุด) ซึ่งศาลเจ้าแต่ละแห่ง อาจจะแบ่งลำดับความโชคดีโชคร้ายนี้ไว้แตกต่างกัน เช่น แบ่งเป็น 5 ระดับ หรือ 7 ระดับ หรือ 12 ระดับ ก็มี
นอกจากนี้ ในใบเซียมซีจะทำนายถึงเรื่องอื่นๆ ได้แก่ สุขภาพ ชีวิตครอบครัว หน้าที่การงาน ทรัพย์สมบัติ ความรัก หรือการเดินทาง รวมอยู่ด้วย
ใบเซียมซีถือเป็นวาจาอันศักดิ์สิทธิ์จากพระเจ้า ควรจะต้องพกติดตัวตลอดเวลา เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ ไม่ว่าคำทำนายนั้นจะออกมาดีหรือไม่ก็ตาม จากนั้นจึงค่อยนำมาคืน เมื่อย้อนกลับมานมัสการที่ศาลเจ้าอีกครั้งหนึ่งในภายหลัง หรือหากคำทำนายออกมาไม่ดี จะผูกทิ้งไว้ที่ศาลเจ้า โดยไม่นำติดตัวกลับไปก็ได้
แต่ในเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ ศาลเจ้าบางแห่งก็อาจจะไม่ใส่ใบเซียมซีที่เป็นเรื่องโชคร้ายไว้ในกล่องเซียมซีนั้นก็ได้
นอกจากการเสี่ยงเซียมซีแล้ว ชาวญี่ปุ่นจะเขียนขอพรบนป้ายแผ่นไม้รูปทรงหลังคา เรียกว่า Ema และผูกติดไว้ที่ศาลเจ้า
และมักจะซื้อ Hamaya หรือธนูปราบมาร และเครื่องลางต่างๆ ซึ่งศาลเจ้าแต่ละแห่งจะจัดเตรียมไว้มากมายหลายชนิด เช่น เครื่องลางที่ขอให้เดินทางปลอดภัย ขอให้สอบได้ ขอให้สุขภาพแข็งแรง หรือขอให้คลอดบุตรปลอดภัย ฯลฯ กลับไปเพื่อเป็นสิริมงคลอีกด้วย
ประเพณีต่างๆ ข้างต้นในวันขึ้นปีใหม่ของชาวญี่ปุ่น ล้วนมีพื้นฐานจากความเชื่อแต่โบราณว่า เป็นวันที่จะอัญเชิญเทพเจ้าให้มาปัดเป่าความชั่วร้ายให้หมดไปจากชีวิต เพื่อต่ออายุและสุขขะพลานามัย
ซึ่งประเพณีปฏิบัตินี้แม้ว่าปัจจุบันอาจจะเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตกาลเมื่อหลายร้อยปีก่อนไปบ้าง แต่ก็ยังดำรงรักษาสืบเนื่องต่อมา
และเป็นที่เชื่อว่า ชาวญี่ปุ่นจะยังคงรักษาประเพณีปฏิบัติเหล่านี้สืบต่อไปในอนาคต แม้ว่าอารยธรรมตะวันตกหรือเทคโนโลยีล้ำสมัยจะเข้ามามีอิทธิพลในชีวิตความเป็นอยู่ของชาวญี่ปุ่นมากขึ้นกว่านี้เพียงใดก็ตาม
Webmaster
31 ธันวาคม 2554
pageviews 1,996,516